กรดโฟลิก (Folic Acid) หรือ วิตามิน B9 คือสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง การเจริญเติบโตของเซลล์ และกระบวนการพัฒนาระบบประสาทในทารกในครรภ์ ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอเพื่อคงสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การตั้งครรภ์ การเจริญเติบโต หรือเมื่ออายุมากขึ้น
ทำไมกรดโฟลิกถึงสำคัญ
กรดโฟลิกช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง โดยส่งเสริมการสร้างเม็ดเลือดแดงอย่างเป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะสามารถลดระดับสารโฮโมซิสเทอีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นตัวการทำลายหลอดเลือดในระยะยาว
นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังมีบทบาทสำคัญในระบบประสาท ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม และสนับสนุนการผลิตสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความจำ
ใครบ้างที่ควรได้รับกรดโฟลิก
หนึ่งในกลุ่มที่ควรได้รับกรดโฟลิกเป็นพิเศษคือ ผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์และหญิงตั้งครรภ์ เพราะโฟลิกช่วยลดความเสี่ยงของความผิดปกติของระบบประสาทในทารก เช่น ภาวะไขสันหลังไม่ปิด ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง หรือผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ร่างกายอาจขาดสารอาหาร เช่น ดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง หรือรับประทานอาหารไม่หลากหลาย ก็ควรได้รับกรดโฟลิกเสริมอย่างเหมาะสม
ควรรับประทานกรดโฟลิกอย่างไร
เราสามารถรับกรดโฟลิกได้จากทั้ง อาหารธรรมชาติ เช่น ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า ผักโขม), ธัญพืชไม่ขัดสี, ตับ, ถั่วเมล็ดแห้ง และผลไม้จำพวกส้ม กล้วย และอะโวคาโด หรือจะรับในรูปแบบ อาหารเสริม ก็ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายต้องการกรดโฟลิกในปริมาณสูง เช่น ช่วงตั้งครรภ์ หรือในผู้ที่มีภาวะดูดซึมสารอาหารไม่ดี
อย่างไรก็ตาม การเลือกปริมาณกรดโฟลิกที่เหมาะสมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการได้รับเกินจำเป็น ซึ่งอาจรบกวนการทำงานของวิตามิน B12 ได้ในบางกรณี
สรุป
กรดโฟลิก เป็นสารอาหารที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพในหลายมิติ ทั้งการสร้างเลือด การพัฒนาระบบประสาท และการทำงานของหัวใจ โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ การทานอาหารที่หลากหลายหรืออาหารเสริมกรดโฟลิกในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์และลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ในระยะยาว