ผู้ป่วยโรคไต มักมีข้อจำกัดในการเลือกรับประทานอาหาร รวมถึงการใช้ อาหารเสริม ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะร่างกายขับของเสียได้ลดลง การเลือกอาหารเสริมอย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานอาหารเสริมได้หรือไม่?
ทานได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และต้องพิจารณาจากระดับการทำงานของไตแต่ละราย เพราะอาหารเสริมบางชนิดอาจเพิ่มภาระให้ไต หรือมีสารเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียม สูงเกินไปจนเกิดผลเสีย
ข้อควรระวัง:
หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น น้ำมะเขือเทศเข้มข้น, น้ำผลไม้รวม
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีฟอสฟอรัสเสริม เช่น ฟอสเฟตบางชนิด
หลีกเลี่ยงวิตามินหรือแร่ธาตุในขนาดสูงเกินจำเป็น
อาหารเสริมที่ผู้ป่วยโรคไตควรเลือกทาน
1. วิตามินกลุ่มที่ละลายในน้ำ (Water-soluble vitamins)
เช่น วิตามินบีรวม (B1, B2, B6, B12), วิตามินซี ในขนาดต่ำถึงปานกลาง
เพราะผู้ป่วยโรคไตอาจขาดวิตามินกลุ่มนี้ได้ง่าย
2. กรดโฟลิก (Folic Acid)
สำหรับป้องกันภาวะโลหิตจางที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยไต
3. ธาตุเหล็ก (Iron)
สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะซีดจากโรคไตเรื้อรัง แต่ต้องเลือกสูตรที่มีธาตุเหล็กบริสุทธิ์ ไม่ผสมฟอสเฟตหรือโพแทสเซียม
4. โอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)
จากน้ำมันปลาเพื่อช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยชะลอการเสื่อมของไต (ต้องเลือกสูตรที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารปรุงแต่งที่ไตต้องขับ)
5. โปรตีนเสริม (ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น)
ถ้ามีภาวะขาดโปรตีนรุนแรง แพทย์อาจแนะนำเวย์โปรตีนชนิดที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมต่ำ เช่น Whey protein isolate ที่ผ่านการกรองพิเศษ
อาหารเสริมที่ควรหลีกเลี่ยง:
วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินเค ขนาดสูง (สะสมในร่างกายได้ อาจเป็นพิษ)
แคลเซียมในปริมาณมาก
โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียมในขนาดสูง
ควรทานอาหารเสริมตอนไหน?
หลังอาหาร จะช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และเพิ่มการดูดซึมวิตามินบางชนิด
ตามแพทย์กำหนด เช่น ธาตุเหล็กควรทานตอนท้องว่างเพื่อการดูดซึมที่ดีที่สุด
ไม่ควรหยุดหรือเริ่มอาหารเสริมเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ประจำตัว
ข้อสรุป
ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานอาหารเสริมได้ แต่จำเป็นต้องเลือกอย่างระมัดระวัง และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ทุกครั้ง การทานอาหารเสริมที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสุขภาพโดยไม่เพิ่มภาระให้กับไต ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพมากขึ้น